วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ชามะรุม

ชาวญี่ปุ่นดื่มชาใบมะรุมรักษาโรคปากนกกระจอก หอบหืด แก้อาการปวดหู และปวดศรีษะ ช่วยบำรุงสายตา ระบบทางเดินอาหาร
ชาวอินเดีย ให้หญิงตั้งครรภ์กินใบมะรุมเพื่อเสริมธาตุเหล็ก
ชาวฟิลิปปินส์ ให้หญิงแม่ลูกอ่อนที่ให้น้ำนมบุตร กินเป็นแกงจืดใบมะรุม เพื่อประสานน้ำนมและเสริมแคลเซียมในน้ำนมแม่

การกินมะรุมนั้น แม้ว่าจะกินทั้งสดและสุกได้ ก็ต้องระวังสักนิด เพราะในมะรุมมีสารไซยาไนต์ มีฤทธิ์ร้อน ทำให้เป็นพิษ เกิดอาการเบื่อเมาได้ คลื่นเหียนอาเจียนและท้องร่วง





ใบมะรุมตากแห้ง 1/2 ถ้วย บดได้ชามะรุมละเอียด 1/4 ถ้วย + 2 ช้อนโต๊ะ
ชามะรุมที่ทำ 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำร้อน 2.5 ถ้วย
น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 2 ช้อนชา

1. นำใบมะรุมไปตากในที่ร่มอย่าให้โดนแดด 2-3 แดดให้ใบกรอบ (ถ้าไม่แห้งกรอบให้นำเข้าอบในไมโครเวฟไฟกลางประมาณ 1 นาที) แล้วนำมาบดกับตะแกรง กระชอน หรือตำให้ละเอียด เก็บใส่ขวดไว้ ปิดฝาให้สนิท หรือจะเอาใส่แคปซูลไว้กินก็ได้
2. แช่ชามะรุมลงในป้านชา ตามด้วยน้ำร้อน แช่ชานานประมาณ 3-5 นาที
3. กรองน้ำชาใส่ในป้านชาสำหรับเสิร์ฟ ใส่น้ำผึ้งและน้ำมะนาว คนให้ละลายเข้ากัน จะดื่มแบบร้อนหรือใส่น้ำแข็งก็ได้ (จำนวน 5-6 แก้ว)


มะรุมเป็นไม้ปลูกง่าย โตเร็ว ให้ผลผลิตต้งแต่ใบอ่อน ดอกอ่อน ฝักอ่อน ไปจนถึงฝักแก่ หมุนเวียนกันไปตลอดทั้งปี ฝักจะดกในช่วงฤดูหนาว ชื่อสากล Drumstick tree ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Moringa oleifera Lamk. ปลูกกันมากแถบอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา อินเดีย ลาว ไทย เข้าใจว่าต้นกำเนิดมาจากอินเดียวตอนใต้และศรีลังกา ที่ประเทศศรีลังกาเรียกว่า มะคุงไก (Marungai) ของเราเรียมะรุม ซึ่งชื่อค่อนข้างพ้องกันอยู่

สารอาหารและประโยชน์ของมะรุมมีเยอะมาก จนรัฐบาลอินเดียวระบุว่าเป็นผักที่มีคุณค่าอาหารสูงที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง และทำการศึกษาจนพบว่า ส่วนที่ให้สารอาหารมากที่สุดคือ ใบ รองลองมาเป็นฝักอ่อน และดอกอ่อน ตามลำดับ ดังนี้
เฉพาะใบ จำนวนใบแห้งหนัง 100 กรัม มีสารอาหารมากมายอย่างเหลือเชื่อดังนี้
วิตามินซี มี 440 มิลลิกรัม ซึ่งนับว่ามากกว่าส้มถึง 7 เท่า วิตามินซีเป็นตัวต้านเซลล์มะเร็งที่สำคัญ (antioxidant) ป้องกันโรคหวัด เลือดออกตามไรฟัน และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
วิตามินเอ มี 45,200 หน่วยสากล (lU) นับได้ว่ามีมากกว่าแคลรอทถึง 4 เท่า วิตามินเอเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระตัวสำคัญ (antioxidant) บำรุงสายตาและผิวหนัง
แคลเซี่ยม มี 1,750 มิลลิกรัม นับว่ามากกว่าน้ำนมถึง 4 เท่า ซึ่งแคลเซี่ยมนี้มีบทบาทต่อระบบเลือด สร้างกระดูกและฟัน
โปรตีน มี 26.8 กรัม นับว่ามากว่าโยเกิร์ตถึง 2 เท่า ใช้ในการสร้างเซลล์และซ่อมแซมอวัยวะที่สึกหรอ
โพแทสเซี่ยม มีมากกว่ากล้วยหอมถึง 3 เท่า เกี่ยวกับทั้งระบบเลือด กระดูก บำรุงสมอง และระบบประสาท

นอกจากสุดยอดที่มีมากมายกว่าแหล่งอาหารอื่นๆ ที่นับว่ามีมากมายแล้ว ยังอุดมไปด้วยวิตามินบี1 บี2 บี3 แร่ทองแดง เหล็ก แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายทั้งสิ้น
ส่วนฝักและดอกมีสารอาหารเช่นเดียวกัน ในปริมาณรองลงมาจากใบ แต่กระนั้นก็อยู่ในชั้นแนวหน้าเหนือกว่าผักชนิดอื่ๆ สรรพคุณของใบ ผล ดอกโดยรวมมีดังนี้
1. รักษาโรคขาดสารอาหารในเด็กแรกเกิดถึงเด็กเล็ก ซึ่งต้องค้นน้ำจากใบแล้วใส่ในอาหารของเด็กเพียงแค่ 1-2 หยดเท่านั้น เพราะมีธาตุเหล็กสูง
2. รักษาระดับนำตาลในกระแสเลือด
3. ควบคุมความดันโลหิตสูง
4. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
5. ป้องกันการกระจายของเซลล์มะเร็ง
6. บรรเทาอาการปวดของโรคเกาต์ ไขข้อ กระดูกอักเสบ รูมาติซึม และแม้แต่มะเร็งในกระดูก
7. รักษาโรคตา ตามืด ตามัว ตาต้อ ตาแดง
8. รักษาโรคลำไส้อักเสบ พยาธิในลำไส้ โรคท้องเดิน
9. รักษาโรคภูมิแพ้ ทางเดินหายใจอักเสบ หอบหืด
10. บำรุงกระดูก ช่วยสมานกระดูกที่หัก บำรุงตับ
11. รักษาแผลเรื้อรัง ในคนป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต
12. ชะลอความแก่ ฆ่าจุลินทรีย์ มีฤทธิ์ลดไขมันและโคเลสเตอรอล





คุณสามารถอัพเดทความประโยชน์ และความรู้ได้ที่ Facebook Page ประโยชน์ที่อยากบอกต่อ
เข้าไปร่วมแชร์ความคิดเห็นได้นะค่ะ




ขอขอบคุณข้อมูลจาก
นิตยสาร "ครัว" krua All About Food&Culture
August 2009 Vol .16 No. 182