วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ชามะรุม

ชาวญี่ปุ่นดื่มชาใบมะรุมรักษาโรคปากนกกระจอก หอบหืด แก้อาการปวดหู และปวดศรีษะ ช่วยบำรุงสายตา ระบบทางเดินอาหาร
ชาวอินเดีย ให้หญิงตั้งครรภ์กินใบมะรุมเพื่อเสริมธาตุเหล็ก
ชาวฟิลิปปินส์ ให้หญิงแม่ลูกอ่อนที่ให้น้ำนมบุตร กินเป็นแกงจืดใบมะรุม เพื่อประสานน้ำนมและเสริมแคลเซียมในน้ำนมแม่

การกินมะรุมนั้น แม้ว่าจะกินทั้งสดและสุกได้ ก็ต้องระวังสักนิด เพราะในมะรุมมีสารไซยาไนต์ มีฤทธิ์ร้อน ทำให้เป็นพิษ เกิดอาการเบื่อเมาได้ คลื่นเหียนอาเจียนและท้องร่วง





ใบมะรุมตากแห้ง 1/2 ถ้วย บดได้ชามะรุมละเอียด 1/4 ถ้วย + 2 ช้อนโต๊ะ
ชามะรุมที่ทำ 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำร้อน 2.5 ถ้วย
น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 2 ช้อนชา

1. นำใบมะรุมไปตากในที่ร่มอย่าให้โดนแดด 2-3 แดดให้ใบกรอบ (ถ้าไม่แห้งกรอบให้นำเข้าอบในไมโครเวฟไฟกลางประมาณ 1 นาที) แล้วนำมาบดกับตะแกรง กระชอน หรือตำให้ละเอียด เก็บใส่ขวดไว้ ปิดฝาให้สนิท หรือจะเอาใส่แคปซูลไว้กินก็ได้
2. แช่ชามะรุมลงในป้านชา ตามด้วยน้ำร้อน แช่ชานานประมาณ 3-5 นาที
3. กรองน้ำชาใส่ในป้านชาสำหรับเสิร์ฟ ใส่น้ำผึ้งและน้ำมะนาว คนให้ละลายเข้ากัน จะดื่มแบบร้อนหรือใส่น้ำแข็งก็ได้ (จำนวน 5-6 แก้ว)


มะรุมเป็นไม้ปลูกง่าย โตเร็ว ให้ผลผลิตต้งแต่ใบอ่อน ดอกอ่อน ฝักอ่อน ไปจนถึงฝักแก่ หมุนเวียนกันไปตลอดทั้งปี ฝักจะดกในช่วงฤดูหนาว ชื่อสากล Drumstick tree ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Moringa oleifera Lamk. ปลูกกันมากแถบอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา อินเดีย ลาว ไทย เข้าใจว่าต้นกำเนิดมาจากอินเดียวตอนใต้และศรีลังกา ที่ประเทศศรีลังกาเรียกว่า มะคุงไก (Marungai) ของเราเรียมะรุม ซึ่งชื่อค่อนข้างพ้องกันอยู่

สารอาหารและประโยชน์ของมะรุมมีเยอะมาก จนรัฐบาลอินเดียวระบุว่าเป็นผักที่มีคุณค่าอาหารสูงที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง และทำการศึกษาจนพบว่า ส่วนที่ให้สารอาหารมากที่สุดคือ ใบ รองลองมาเป็นฝักอ่อน และดอกอ่อน ตามลำดับ ดังนี้
เฉพาะใบ จำนวนใบแห้งหนัง 100 กรัม มีสารอาหารมากมายอย่างเหลือเชื่อดังนี้
วิตามินซี มี 440 มิลลิกรัม ซึ่งนับว่ามากกว่าส้มถึง 7 เท่า วิตามินซีเป็นตัวต้านเซลล์มะเร็งที่สำคัญ (antioxidant) ป้องกันโรคหวัด เลือดออกตามไรฟัน และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
วิตามินเอ มี 45,200 หน่วยสากล (lU) นับได้ว่ามีมากกว่าแคลรอทถึง 4 เท่า วิตามินเอเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระตัวสำคัญ (antioxidant) บำรุงสายตาและผิวหนัง
แคลเซี่ยม มี 1,750 มิลลิกรัม นับว่ามากกว่าน้ำนมถึง 4 เท่า ซึ่งแคลเซี่ยมนี้มีบทบาทต่อระบบเลือด สร้างกระดูกและฟัน
โปรตีน มี 26.8 กรัม นับว่ามากว่าโยเกิร์ตถึง 2 เท่า ใช้ในการสร้างเซลล์และซ่อมแซมอวัยวะที่สึกหรอ
โพแทสเซี่ยม มีมากกว่ากล้วยหอมถึง 3 เท่า เกี่ยวกับทั้งระบบเลือด กระดูก บำรุงสมอง และระบบประสาท

นอกจากสุดยอดที่มีมากมายกว่าแหล่งอาหารอื่นๆ ที่นับว่ามีมากมายแล้ว ยังอุดมไปด้วยวิตามินบี1 บี2 บี3 แร่ทองแดง เหล็ก แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายทั้งสิ้น
ส่วนฝักและดอกมีสารอาหารเช่นเดียวกัน ในปริมาณรองลงมาจากใบ แต่กระนั้นก็อยู่ในชั้นแนวหน้าเหนือกว่าผักชนิดอื่ๆ สรรพคุณของใบ ผล ดอกโดยรวมมีดังนี้
1. รักษาโรคขาดสารอาหารในเด็กแรกเกิดถึงเด็กเล็ก ซึ่งต้องค้นน้ำจากใบแล้วใส่ในอาหารของเด็กเพียงแค่ 1-2 หยดเท่านั้น เพราะมีธาตุเหล็กสูง
2. รักษาระดับนำตาลในกระแสเลือด
3. ควบคุมความดันโลหิตสูง
4. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
5. ป้องกันการกระจายของเซลล์มะเร็ง
6. บรรเทาอาการปวดของโรคเกาต์ ไขข้อ กระดูกอักเสบ รูมาติซึม และแม้แต่มะเร็งในกระดูก
7. รักษาโรคตา ตามืด ตามัว ตาต้อ ตาแดง
8. รักษาโรคลำไส้อักเสบ พยาธิในลำไส้ โรคท้องเดิน
9. รักษาโรคภูมิแพ้ ทางเดินหายใจอักเสบ หอบหืด
10. บำรุงกระดูก ช่วยสมานกระดูกที่หัก บำรุงตับ
11. รักษาแผลเรื้อรัง ในคนป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต
12. ชะลอความแก่ ฆ่าจุลินทรีย์ มีฤทธิ์ลดไขมันและโคเลสเตอรอล





คุณสามารถอัพเดทความประโยชน์ และความรู้ได้ที่ Facebook Page ประโยชน์ที่อยากบอกต่อ
เข้าไปร่วมแชร์ความคิดเห็นได้นะค่ะ




ขอขอบคุณข้อมูลจาก
นิตยสาร "ครัว" krua All About Food&Culture
August 2009 Vol .16 No. 182

วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เมนูอร่อย...ได้สุขภาพ จากมะรุม

วันนี้เราจะมาแนะนำเมนู สุขภาพจากมะรุมค่ะ


                                                            ผักพื้นบ้าน อาหารเป็นยา



เครื่องปรุง
เมล็ดอ่อนมะรุม 1 ถ้วย
เห็ดฟางสับรวนสุก 5 ดอก
หอมแดงซอย 2 ช้อนโต๊ะ
เต้าหู้ขาวแข็งยีแล้วทอดกรอบ 1/2 แผ่น
ผักกาดแก้วและแรดิชชิโอสำหรับรองจาน
น้ำยำ
ซีอิ๊วขาว น้ำมะนาว อย่างละ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำเชื่อม 1.5 ช้อนชา
พริกขี้หนูสวนซอย 7 เม็ด

1. ต้มน้ำในหม้อด้วยไฟกลางให้เดือด ใส่เมล็ดมะรุมลงลวกจนสุก ตักขึ้นแช่ในอ่างน้ำเย็น แล้วนำขึ้นพักในตะแกรงให้สะเด็ดน้ำ
2. ทำน้ำยำโดยผสมเครื่องปรุงทั้งหมดเข้าด้วยกันในถ้วยเตรียมไว้
3. ใส่เมล็ดมะรุมลวกลงในอ่างผสม ใส่เห็ดฟางรวน หอมแดง ตามด้วยน้ำยำ เคล้าพอทั่ว ตักใส่จานที่รองด้วยผักกาดแก้วและแรดิชชิโอ โรยเต้าหู้ทอดกรอบ รับประทานทันที (2-3 คนรับประทาน) 





เครื่องปรุง
ไข่ไก่ 2 ฟอง
ใบมะรุม 1.5 ถ้วย น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมสับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำซุปผัก 3 ถ้วย
เห็ดนางรมดอกเล็ก 50 กรัม
ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
ซอสปรุงรส 1/2 ช้อนชา
เกลือสมุทร 1/4 ช้อนชา
น้ำตาลกรวด 1/4 ช้อนชา
กระทียมเจียวสำหรับโรยหน้า
พริกชี้ฟ้าสีแดงหั่นเส้นสำหรับตกแต่ง

1. ต่อยไข่ใส่ถ้วย ตีให้เข้ากัน ใส่ใบมะรุม 1 ถ้วย คนให้เข้ากันทั่ว เตรียมไว้
2. ตั้งกระทะบนไฟกลางพอร้อน ใส่น้ำมันกับกระเทียมลงเจียวจนเหลืองและมีกลิ่นหอม ใส่ไข่กับใบมะรุมที่เตรียมไว้ ผัดให้เข้ากัน ใส่น้ำซุปผัก พอเดือด ใส่เห็ดนางรมและใบมะรุมที่เหลือ ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ซอสปรุงรส เกลือและน้ำตาล พอเดือดอีกครั้ง ปิดไฟ ยกลง
3. ตักใส่ถ้วย โรยกระเทียมเจียว ตกแต่งด้วยพริกชี้ฟ้าสีแดงหั่นเส้น เสิร์ฟร้อนๆ ( 2-3 คนรับประทาน ) 




เครื่องปรุง
น้ำพริกแกงส้มที่โขลก 1/2 ถ้วย
น้ำ 4 ถ้วย
เนื้อฝักมะรุมหั่นท่อน 1 นิ้ว (6 ฝัก) 2 ถ้วย
เมล็ดอ่อนมะรุม 1/2 ถ้วย
ซีอิ๊วชาว 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลมะพร้าว 1.5 ช้อนโต๊ะ + 1/2 ช้อนชา
น้ำมะขามเปียกข้นๆ 1/4 ถ้วย
น้ำมะกรูด 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือสมุทร 1 ช้อนชา ใบมะรุม 2 ถ้วย
เต้าหู้ (180 กรัม)(หั่นชิ้นสี่เหลี่ยมทอด) 1 ถ้วย
เครื่องแกง (ปริมาณ 1/2 ถ้วย)พริกแห้งเม็ดใหญ่แกะเมล็ดออกแช่น้ำจนนุ่ม 7 เม็ด
เกลือสมุทร 1 ช้อนชา
พริกขี้หนูสวนสีแดง 10 เม็ด
หอมแดงหั่น 5 หัว
กะปิเจ 1 ช้อนชา เห็ดฟาง 4 ดอก

1. ทำน้ำพริกแกงส้มโดยโขลกพริกแห้งกับเกลือเข้าด้วยกันให้ละเอียด ใส่พริกขี้หนูสีแดง หอมแดง กะปิเจ โขลกต่อจนละเอียดเข้ากันดี จึงใส่เห็ดฟาง โขลกจนละเอียดเข้ากัน ตักใส่ถ้วย พักไว้
2. ใสน้ำพริกแกงส้มที่โขลกลงในหม้อใส่น้ำ คนให้เข้ากัน ยกขึ้นตั้งบนไฟกลางจนเดือด ใส่เนื้อฝักมะรุม เมล็ดมะรุม พอเดือดและสุก ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว น้ำตาล น้ำมะขามเปียก น้ำมะกรูด และเกลือ พอเดือดอีกครั้งใส่ใบมะรุม และเต้าหู้ทอด คนให้ทั่วพอใบมะรุมสุก ชิมรสให้เปรี้ยว หวานเค็ม กลมกล่อม ปิดไฟ
3. ตักใส่ถ้วย เสิร์ฟร้อนๆ (3-4 คนรับประทาน) 


ได้เคล็ดลับการรับทานมะรุม อย่างอร่อยและได้สุขภาพกันไปแล้ว อย่าลืมหามารับประทานหรือลองทำกันดูนะค่ะ




คุณสามารถอัพเดทความประโยชน์ และความรู้ได้ที่ Facebook Page ประโยชน์ที่อยากบอกต่อ
เข้าไปร่วมแชร์ความคิดเห็นได้นะค่ะ




ขอขอบคุณข้อมูลจาก
นิตยสาร "ครัว" krua All About Food&Culture
August 2009 Vol .16 No. 182

มะรุม คืออะไร





หลายคนสงสัยว่า มะรุมคืออะไร หน้าตาเป็นยังไง และมีประโยชน์อะไรบ้าง มะรุมจัดว่าเป็นอีกสมุนไพรไทยชนิดหนึ่งเลยค่ะ บางคนก็เรียก มะรุม ว่า ผักมะรุม ผลมะรุม ประโยชน์ของมะรุมนั้นมีมากมายสามารถนำมาทำอาหารได้หลายอย่างทั้ง ต้ม ผัด แกง ส่วนสรรพคุณของมะรุม ก็นำมาทำเป็นตัวยาหลายอย่าง ส่วนมากคนนิยมกินเป็นแคปซูลมะรุม หรือว่าจะนำมาทำเป็นชามะรุม เพื่อง่ายใน
การรับประทานค่ะ เรามาดูกันค่ะว่าสรรพคุณของมะรุม และ คุณค่าทางอาหารของมะรุม มีอะไรกันบ้าง







มะรุม จัดเป็นพืชผักพื้นบ้านของไทย มีประโยชน์เอนกประสงค์ ทั้งทางด้านอาหาร ยาและอุตสาหกรรม เป็นไม้ยืนต้นที่โตเร็ว ทนแล้ง ปลูกง่ายในเขตร้อน อาจจะเติบโตมีความสูงถึง 4 เมตรและออกดอก
ภายในปีแรกที่ปลูก ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ชนิดที่แตกใบย่อย 3 ชั้น ยาว 20 - 40 ซม. ออกเรียงแบบสลับ ใบย่อยยาว 1 - 3 ซม. รูปไข่ ปลายใบและฐานใบมน ผิวใบด้านล่างสีอ่อนกว่าและมีขนเล็กน้อยขณะที่ใบยังอ่อน ใบมีรสหวานมัน ออกดอกในฤดูหนาว บางพันธุ์ออกดอกหลายครั้งในรอบปี ดอกเป็นดอกช่อ สีขาว กลีบเรียง มีกลีบ กลีบดอกมี 5 กลีบแยกกัน ดอกมีรสขม หวาน มันเล็กน้อย ผล
เป็นฝักยาว เปลือกสีเขียวมีส่วนคอดและส่วนมน เป็นระยะ ตามยาวของฝัก ฝักยาว 20 - 50 ซม. ฝักมีรสหวาน เมล็ดเป็นรูปสามเหลี่ยม มีปีกบางหุ้ม 3 ปีก เส้นผ่าศูนย์กลางของเมล็ดประมาณ 1 ซม.




สรรพคุณ
มะรุมในทางการแพทย์จะช่วยใช้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวาน ควบคุมภาวะความดันโลหิตสูง ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย 
•   ใบ ใช้ถอนพิษไข้ แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้อักเสบ แก้แผล ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับปัสสาวะ ป้องกันมะเร็ง ลดความดันโลหิต
•   ยอดอ่อน ใช้ถอนพิษไข้
•   ดอก ใช้แก้ไข้หัวลม เป็นยาบำรุง ขับปัสสาวะ ขับน้ำตา ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ป้องกันมะเร็ง
•   ฝัก แก้ไข้ ป้องกันมะเร็ง ลดความดันโลหิต
•   เมล็ด เมล็ดปรุงเป็นยาแก้ไข้ แก้บวม แก้ปวดตามข้อ ป้องกันมะเร็ง
•   ราก รสเผ็ด หวาน ขม สรรพคุณ แก้อาการบวม บำรุงไฟธาตุ รักษาโรคหัวใจ รักษาโรคไขข้อ 
•   เปลือกลำต้น รสร้อน สรรพคุณขับลมในลำไส้ ทำให้ผายหรือเรอ คุมธาตุอ่อน ๆ แก้ลมอัมพาต ป้องกันมะเร็ง คุมกำเนิด เคี้ยวกินช่วยย่อยอาหาร
   ยาง (gum) ฆ่าเชื้อไทฟอยด์ ซิฟิลิส แก้ปวดฟัน 

คุณค่าทางอาหาร
         ใบ ใบสดใช้กินเป็นอาหาร ใบแห้งที่ทำเป็นผงเก็บไว้ได้นานโดยยังมีคุณค่าทางอาหารสูง ใบมะรุมมีวิตามิน เอ สูงกว่าแครอท มีแคลเซียมสูงกว่านม มีเหล็กสูงกว่าผักขม มีวิตามี ซี สูงกว่าส้มและมีโปแตสเซียมสูงกว่ากล้วย
    ดอกฆ่าเชื้อแบคทีเรีย แก้หวัดHelminths ป้องกันมะเร็ง
    ฝัก ฝักมะรุม 100 กรัม ให้พลังงานต่อร่างกาย 32 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วย เส้นใย 1.2 กรัม แคลเซียม 9 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 26 มิลลิกรัม เหล็ก 1.5 มิลลิกรัม วิตามินเอ 532 IU วิตามินบีหนึ่ง 0.05 มิลลิกรัม ไนอาซิน 0.6 มิลลิกรัม วิตามินซี 262 มิลลิกรัม
    เมล็ด น้ำมันที่ได้จากการคั้นเมล็ดสดใช้เป็นน้ำมันปรุงอาหาร
    การปรุงอาหาร ในประเทศไทย ฤดูหนาวจะมีมะรุมจำหน่ายทั่วไป ทั้งตลาดในเมืองและในท้องถิ่น คนไทยทุกภาครับประทานมะรุมเป็นผัก ชาวภาคกลางนิยมนักมะรุมอ่อนไปปรุงเป็นแกงส้ม และนำดอกมะรุมลวกให้สุกหรือดองรับประทานกับน้ำพริก สำหรับชาวอีสาน ยอดอ่อน ใบอ่อน ช่อดอกอ่อนนำไปลวกให้สุกหรือต้มให้สุก รับประทานเป็นผักร่วมกับป่นแจ่ว ลาบ ก้อย หรือนำไปปรุงเป็นแกงอ่อม ส่วนฝักอ่อนหรือฝักที่ยังไม่แก่เต็มที่นำมาปอกเปลือก หั่นเป็นท่อนและนำไปปรุงเป็นแกงส้ม หรือแกงลาวได้ นอกจากนี้ ที่จังหวัดชัยภูมิ ยังรับประทานฝักมะรุมอ่อนสด เป็นผักแกล้มร่วมกับส้มตำโดยรับประทานคล้ายกับรับประทานถั่วฝักยาว และชาวบ้านเล่าว่าฝักมะรุมอ่อนนำไปแกงส้มได้โดยไม่ต้องปอกเปลือก ชาวเหนือนำดอกอ่อน ฝักอ่อนไปแกงกับปลา ในต่างประเทศ เช่น อินเดีย มีการทำผงใบมะรุมไว้เป็นอาหาร น้ำใบมะรุมอัดกระป๋อง
   บตากแห้ง สามารถนำใบมาตากแห้งในที่ร่มอย่าให้โดนแดดเมื่อแห้งแล้วนำมาป่นเป็นผงบรรจุในหลอดแคปซูลเพื่อสะดวกแก่การพกพาในกรณีที่เดินทางและหาใบสดไม่ได้ใช้ทำเป็นน้ำชาไว้ดื่มได้ตลอดวันแต่ใบแห้งจะขาดไวตามินซีและไวตามินบีตลอลีนและแร่ธาตุบาง ควรเก็บผงมะรุมไว้ในที่มืดเช่นขวดพลาสติกชนิดทึบเพื่อกันการเสื่อมคุณภาพแต่คุณสมบัติอื่นๆ ยังคงเดิมเนื่องจากมะรุมเป็นพืชสมุนไพรกลางบ้านดังนั้นการให้ผลย่อมช้ากว่ายาแผนสมัยใหม่การที่จะใช้ให้ได้ผลอย่างจริงจังต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า3เดือนและต้องใช้ติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอจะให้ผลเป็นที่น่าพอใจร่างกายจะแข็งแรงอยู่เสมอคนธรรมดาที่ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคก็สามารถใช้ได้เพื่อป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อต่างๆ สร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายเป็นอย่างดี 





ประโยชน์ของชามะรุม

ชามะรุมมีกลิ่นหอม มีส่วนช่วยให้นอนหลับสบาย ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่า ชามะรุมช่วยรักษาโรคปากนกกระจอก หอบหืด ช่วยในการบำรุงสายตา และระบบทางเดินอาหาร การดื่มน้ำมะรุม จะมีส่วนช่วดลดการแพ้รังสี สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ต้องรับการฉายแสง ทำให้ผูป่วยพื้นตัวเร็วและแข็งแรงยิ่งขึ้น





คุณสามารถอัพเดทความประโยชน์ และความรู้ได้ที่ Facebook Page ประโยชน์ที่อยากบอกต่อ
เข้าไปร่วมแชร์ความคิดเห็นได้นะค่ะ



ขอบคุณแหล่งข้อมูล http://th.wikipedia.org/wiki/มะรุม





วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ประโยชน์ของน้ำ เมล็ดและเปลือกองุ่น





ประโยชน์ของน้ำ เมล็ดและเปลือกองุ่น
Grape concentrate น้ำองุ่นเข้มข้น
มีข้อมูลทางการแพทย์หลายฉบับที่กล่าวถึงประโยชน์โดยแบ่งเป็นข้อๆ ได้ดังนี้
1.การลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ
2.การลดการเกิดมะเร็งชนิดต่างๆ
3.การช่วยโรคกลุ่มทางเดินหายใจอุดตัน
4.การป้องกันความเสื่อมของประสาทตาจากความชรา
5.ฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรีย

การลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ
ในองุ่นจะประกอบไปด้วยสารที่มีชื่อว่า flaviniod ซึ่งตัว flaviniod นี้สามารถช่วยลดการเกิดโรคหัวใจได้โดย 2 กลไกคือ
1.ลดการจับตัวกันของเกล็ดเลือดตามหลอดเลือด
2.ลดการเกิดคลอเลสเตอรอลชนิด LDL ซึ่งเป็นโทษต่อร่างกาย
นอกไปจากนี้ยังพบอีกว่าในองุ่นมีสารอาหารที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ ดังนี้
1.ช่วยเพิ่ม NO (nitric oxide) ซึ่งมีส่วนช่วยในการลดการเกาะตัวกันของเกร็ดเลือด
2.ช่วยลดการสะสมตัวของคลอเลสเตอรอลซึ่งทำให้เกิดการหนาตัวขึ้นของหลอดเลือด
3.พบว่ามีการเพิ่มของสาร alpha-tocopherol ซึ่งเป็น antioxidant กลุ่มเดียวกันกับ vitamin E มีผลช่วยในการบำรุงกล้ามเนื้อหัวใจ
ซึ่งทั้งหมดนี้ยังมีส่วนช่วยลดระดับของคลอเลสเตอรอล LDL ซึ่งไม่ดีต่อร่างกายด้วย ทำให้ลดการเกิดโรคหัวใจได้อีกด้วย

องุ่นกับการลดการเกิดมะเร็ง
มี ข้อมูลมากมายที่ช่วยแสดงผลว่า องุ่นสามารถช่วยลดการเกิดมะเร็งได้ โดยเฉพาะมะเร็งเต้านมโดยจะทำให้โอกาสแพร่กระจายของตัวมะเร็งลดน้อยลงและช่วย ให้อาการของมะเร็งเต้านมลดน้อยลง นอกจากนั้น ยังช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านมได้ด้วยซึ่งเป็นคุณสมบัติขององุ่น โดยเฉพาะองุ่นแดง กล่าวโดยสรุปว่า องุ่นมีผลทั้งในการป้องกัน การลดความเสี่ยง และการลดความรุนแรงของมะเร็งได้

การช่วยโรคกลุ่มทางเดินหายใจอุดตัน
ใน ทางเดินหายใจโดยปกติจะมีเซลล์ที่คอยทำหน้าที่ในการกำจัดเชื้อโรคและสิ่งแปลก ปลอมที่หลุดเข้ามา หลักๆคือ alveolar macrophage [แมคโครฟาจ] โดยปกติเจ้านี่จะทำหน้าที่จับสิ่งแปลกปลอมรวมถึงเชื้อโรคกินแล้วจะเกิด กระบวนการทำลายไป แต่ผลพวงคือ macrophage จะปล่อยสารเคมีออกมาซึ่งสารนี้จะไปดึงดูดเม็ดเลือดขาวมาช่วยกันกำจัดสิ่ง แปลกปลอม ซึ่งสารที่มันปล่อยออกมานี้ผลดีคือกำจัดสิ่งแปลกปลอมได้ แต่ผลเสียทางอ้อม คือเนื้อเยื่อของทางเดินหายใจและเนื้อปอดจะโดนอัดไปด้วย สารตัวนี้คือ IL-8 (interleukin 8) จากการศึกษาพบว่าเมื่อทดลองใส่ flaviniod ที่มีในน้ำองุ่นลงไป พบว่า IL-8 นี้แทบจะตรวจไม่พบ ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับทางเดินหายใจอยู่แล้ว

การป้องกันความเสื่อมของประสาทตาจากความชรา
Macular คือศูนย์รวมของการรับภาพบนจอประสาทตา(retina) ซึ่งเมื่ออายุมากๆขึ้นจะมีการเสื่อมได้ จึงเรียกว่า age-related คือสัมพันธ์กับอายุ ถ้ามีการเสื่อมก็จะทำให้มีปัญหาในการมองเห็น พบว่าการกินผลไม้สม่ำเสมอ โดยเฉพาะองุ่นนี้ด้วยจะช่วยชะลอการเสื่อมของจุดรับภาพได้




คุณสามารถอัพเดทความประโยชน์ และความรู้ได้ที่ Facebook Page ประโยชน์ที่อยากบอกต่อ
เข้าไปร่วมแชร์ความคิดเห็นได้นะค่ะ